Sunday, November 25, 2012

เศรษกิจโลกจะล่มสลายในปี ค.ศ. 2030

ผมไม่ใช่นักเศรษศาสตร์นะ ดังนั้นขอแปลแบบประโยคต่อประโยค เอาให้ได้ใจความดั้งเดิม

MIT Predicts That World Economy Will Collapse By 2030



MIT พยากรณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะล่มสลายภายในปี 2030
สี่สิบปีหลังจากเริ่มเผยแพร่ ผลการศึกษาที่เรียกว่า ข้อจำกัดในการเติบโต (Limits to Growth)  ซึ่งเหมือนการรู้ล่วงหน้าที่น่าผิดหวัง  คณะกรรมการร่างโนยบายนานาชาติ(Think Tank) ที่เรียกว่าสมาคมแห่งโรม(Club of Rome) รายงานในปี พ.ศ. 2515 ว่าอารยธรรมของมนุษย์ได้เป็นไปตามแนวทางที่เพิ่มการบริโภค ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษญกิจล่มสลายประมาณปี 2030 โลกจะสูญเสียประชากรอย่างแน่นอน ทุกอย่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

การศึกษานี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง นักเศรษญศาสตร์ ตั้งข้อสงสัยในคำทำนายของมัน และวิพากษย์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อแนวคิดทีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีข้อจำกัดในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ Graham Turner นักวิจัยชาวออสเตรียน ได้ทำการทดสอบสมมติฐานของรายงาน แบบลงลึกในรายละเอียดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และปรากฎว่า การวิจัยของเขาได้ผลตรงกับคำทำนายของรายงานนี้ (Limits to Growth) อ้างอิงจากวารสาร Smithsonian ได้ว่า โลกกำลังดำเนินไปในเส้นทางหายนะ

การศึกษาเรื่อง Limits to Growth สำเร็จครั้งแรกที่สถาบัน MIT โดยอิงจากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของแนวโน้มทางเศรษกิจ และประมาณว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก มนุษย์จะใช้ทรัพยากรณ์และที่ว่างเปล่า โลกจะใช้จนหมดที่จุดหนึ่ง น้ำมันจะผลิตจนถึงจุดสูงสุด(บางคนแย้งว่า เราผ่านจุดน้ำมันสูงสุดมาแล้ว) ก่อนที่จะตกลงมาอีกข้างของกราฟรูประฆังคว่ำ แต่ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของความต้องการทางอาหารและบริการ(Service น่าจะเป็นไฟฟ้า -ผู้แปล) ซึ่งจะยังสูงขึ้นต่อไปอีก Turner กล่าวว่าข้อมูลจริง จากปี 1970 - 2000(2513-2543)  เทียบกับ การพยากรณ์ในการศึกษานี้ "เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเป็นการสั่นระฆังเตือนภัย เราไม่ได้อยู่ในวิถีแห่งความยั่งยืน" เขากล่าวกับสถาบันสมิธโซเนี่ยน

เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข? ไม่ อ้างอิงจากทั้ง Turner และ ตัวรายงาน Limits to Growth ดั้งเดิม ถ้ารัฐบาล ใช้กฎหมาย และโนยบายที่เข้มงวด  เทคโนโลยีสามารถถูกปรับปรุงและลดการหาประโยชน์จากสิงแวดล้อมได้ เศรษฐกิจไม่จำเป็นจะต้องแคระแกรน และเข้าแถวไปสู่การหดตัวอย่างไร้ข้อกังขา แต่ต้องทำในสิ่งที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้งเชิง



Looking Back on the Limits of Growth






No comments:

Post a Comment