Thursday, November 29, 2012

Oil Peak พีคออยล์ จุดสูงสุดของน้ำมัน

http://www.oildecline.com/


แปลนะครับ พยายาแปลรักษาเนื้อความเดิมมากที่สุด เพราะผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เท่าใหร่ รับมาแค่แนวคิด ส่วนเรื่องข้อมูลไม่เคยติดตามมาก่อน

พีคออยล์ จุดสูงสุดของน้ำมัน


มันใช้เวลาในการก่อกำเนิด 50-300ล้านปี แล้วเราได้เผามันไปแล้ว คร่าวๆ ครึ่งนึงของน้ำมันสำรองของโลก ในเวลา 125 ปี

โลกตอนนี้ใช้น้ำมันวันละ 85ล้านแบเรลต่อวัน ความต้องการยังคงเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

ประเทศผลิตน้ำมัน 33 ใน 48 ประเทศได้ผลิตถึงจุดสูงสุดไปแล้ว รวมทั้งคูเวต รัสเซีย และเม็กซิโก การผลิตน้ำมันของโลกกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุด และเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถึงจุดสิ้นสุดของ อารยธรรมอุตสาหกรรม นักภูมิศาสตร์, ผู้เชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรม แลองกรต่าง ๆ ที่มีความสำคัญและน่าเชื่อถือ เห็นตรงกันว่าปัญหากำลังบ่มตัว

น้ำมันจะไม่หมดไปจากโลก แต่สิ่งที่จะหมดไปคือ ความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพ ถูก สามารถสกัดมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า พอแก่ความต้องการ หลังจากศึกษาและวิเคราะห์เป็นเวลามากกว่าห้าสิบปี โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า มีความน่าเชื่อถือและมีเหตุผล เป็นที่ชัดเจนว่าอัตราการสกัด(ดูดจากแหล่ง-ผู้แปล)น้ำมันของผู้ผลิตน้ำมันทั่วโลกได้ถึงจุดสูงสุดที่เป็นไปได้แล้ว นี่คือความหมายของ PeakOil (พีคออยล์ จุดสูงสุดของน้ำมัน) ด้วยค่าใช้จ่ายและความพยายามอย่างมหาศาล เราจะรักษาระดับการผลิตน้ำมันในปัจจุบันไปได้อีกเพียงสองสามปี แต่หลังจากนั้น การผลิตน้ำมัน จะเริ่มลดลง อย่างถาวรและย้อนกลับไม่ได้ ยุคหินไม่ได้ยุติเพราะโลกขาดหินฉันใด  ยุคน้ำมันก็ไม่ได้ยุติเพราะโลกหมดน้ำมันฉันนั้น ประเด็นคือขาดความเติบโต(ทางเศรษฐกิจ-ผู้แปล) ตามมาด้วยคงตัว แล้วก็ตกลงอย่างรวดเร็ว Dr. King Hubbert คาดการณ์อย่างถูกต้องของ Peak Oil ของเอมริกาในยุค 1970 ด้วยวิธีนี้เช่นกัน

ปัจจุบันเป็นที่รุ้กันอย่งกว้างขวางในวงการนักภูมิศาสตร์ปิโตรเลียมว่า มากกว่า 95%ของแหล่งน้ำมันได้ถูกค้นพบแล้ว ดังนั้น (ด้วยความแน่นอนพอสมควร) เราทราบปริมาณน้ำมันที่โลกมีให้เราแล้ว บ่อน้ำมันทุกอันมีช่วงชีวิตที่แน่นอนที่จะให้น้ำมันด้วยอัตราสูงสุดก่อนจะลดลงจนหมด สิ่งนี้เกิดขึ้นกับประมาณครึ่งนึงของน้ำมันในบ่อถูกดูดออกไป(หมาจถึงพอดูดน้ำมันออกไปครึ่งนึงแล้วอตราการดูดจะลดลง-ผู้แปล) เราได้ใช้น้ำมันไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำมันของโลกซี่งมีประมาณ 2.5 ล้านล้านแบเรลของ น้ำมันปกติ(Conventional oil) ในพื้นดิน ตั้งแตบ่อน้ำมันบ่อแรก จนถึงปัจจุบันที่มีอัตราการใช้ 30 ล้านแบเรล ต่อปี หมายความว่าเราใช้ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว

ทั่วโลกมีการค้นพบน้ำมันสูงสุดในปี 1964 หลังจากนั้น(การค้นพบ)ก็ลดลง (อ้างถึง industry consultants IHS Energy) 90% ของแหล่งน้ำมันที่ค้นพบได้เริ่มผลิตน้ำมันแล้ว คาดว่าจะมีการค้นพบอีกเล็กน้อย  ไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 2002 ในปี 2001 มีการค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่แปดแห่ง ในปี2002 มีการค้นพบ 3แหล่ง ในปี2003 ไมมีการค้นพบแหล่งใหญ่เลย Givan นัก Geologistic ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเข้าใจในลักษณะ(ทางภูมิศาสตร์-ผู้แปล)ที่จะบ่งบอกแหล่งน้ำมัน เป็นไปได้สูงที่แหล่งน้ำมันมักจะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่จะดึงดูดความสนใจได้ ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้  ตั้งแต่ 1981 เราใช้น้ำมันเร็วกว่าที่เราค้นพบใหม่ และช่องว่างนี้กว้างขีนเรื่อย ๆ การพัฒนาแหล่งใหม่เช่น Arctic National Wildlife Refuge ในอลาสกา ต้องใช้เวลาอย่างน้อย สิบปีและอาจผลิตได้แค่ 1%ของความต้องการของโลกในปัจจุบัน(IEA)

น้ำมันในปัจจุบัน ถูกใช้ไปสี่เท่าเร็วกว่าการค้นพบใหม่ สถานะการจะกลายเป็นวิกฤติ

"การใช้ทรัพยากรณ์ที่มีจำกัดนั้น รู้ได้อย่างง่ายดายว่าเสี่ยง และถ้าใช้เร็วม้นก็ถึงจุดสูงสุดเร็ว" (M. Simmons)

การผลิตน้ำมันของโลกกำลังถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว แม้แต่แก็สธรรมชาติ ของเหลวธรรมชาติ รวมทั้ง Deepwateที่อันตราย เสี่ยง สร้างความเสียหาย และ น้ำมันขั้วโลก (ไอ้สองอย่างหลังนี้มันคืออะไรผมได้ไม่รู้-ผู้แปล)

กรณีซาอุดิอาราเบีย
ด้วยกว่าห้าสิบประเทศผู้ผลิตน้ำมันมีผลผลิตลดลง ถ้าเล็งไปที่ตะวันออกกลางซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมันการผลิตลดลงอย่งรวดเร็ว ประเทศในตะวันออกกลางได้ช่วยบรรเทาสถานะการณ์ตึงตัวของน้ำมันอย่างมีแบบแผน ด้วยการเพิ่มการผลิต แต่ เนื่องจากภูมิภาคนี้ใกล้จุดสูงสุด peak oil ของตัวเองแล้วการบรรเทานั้นทำได้อย่างจำกัดและชั่วคราว

ซาอุดิอาราเบียคือผู้ผลิตหลักด้วย 73 % ของการเพิ่มความต้องการของโลกนั้นได้จากประเทศนี้ ข้อเท็จจริงที่น่าเป็นห่วงคือ 90%ของการผลิตของซาอุมาจากแหล่งใหญ่เพียง5แหล่ง (แหล่งหนึ่งคือ Ghawar ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบ) และทุกแหล่งอยู่ในความเสียงจากการล้มเหลวในการผลิตแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน ในปี 2004 มีสัญญาณเตือนในการผลิตว่าจะตกอยู่ในภาวะหมดสลาย บริษัทน้ำมันของซาอุใช้เทคนิกสำรองด้วยการอัดน้ำทะเลจำนวนมากลงไป(7ล้านแบเรลต่อวัน)ในแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดนี้เพื่อกระต้อนยอดการผลิต เทคนิกนี้มีผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น และจะเร่งการหมดสลายของแหล่งน้ำมันในอนาคต

Matt Simmons นักวิเคราะห์ทางพลังงานผู้ซึ่งศึกษาด้านพลังงานมา 34 ปี ในหนังสือของเขา Twilight in Desert ได้เผชิญหน้าโต้แย้งอย่างได้ผล ต่อความเชื่อที่น่าสบายใจที่ว่าซาอุมีแหล่งน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ และเขายังได้กระตุ้นข้องสงสัยว่า การผลิตของซาอุดิอาราเบียจะถึงจุดสูงสุดในไม่นาน หลังจากนั้นการผลิตจะลดลงและโลกจะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำมันอย่างกระทันหัน  พื่นฐานข้อเท็จจริงของหนังสือมาจากบทความทางเทคนิก กว่า 200 บทความที่ตีพิมพ์ในรอบ 20ปี ซึ่งได้ให้รายละเอียดของบ่อน้ำมันแต่ละบ่อ ทุกแหล่ง แต่ได้รวมรายละเอียดและแสดงว่า แหล่งน้ำมันทั้งหมดของซาอุดิอาราเบียนั้น เก่าและผุพัง อีกทั้งปริมาณสำรองนั้น จงใจประเมินสูงกว่าความเป็นจริงอย่างมาก

นักภูมิศาสตร์ Dr Colin Campbell ในนิตยสาร Scientific American ในปี 1998 ได้ให้รายละเอียดจำนวนมาก เกี่ยวกับการขาดความสมมูลกัน ในการประเมินประมาณสำรองในตะวันออกกลาง มีการเพิ่มปริมาณสำรองเพื่อให้ปริมารสำรองคงเดิม(หลังจากดูดไปบ้างแล้ว-ผู้แปล) ปีแล้วปีเล่า แล้วก็เพิ่มอย่างก้าวกระโดดอย่างชัดเจน การกระโดนอย่างไม่สามารถอธิบายได้คล้าย ๆ กันนี้ เกิดขึ้นกับ หลายประเทศในตะวันออกกลาง บางครั้งไมมีแม้กระทั้งการสำรวจ เขาได้แนะนำอย่างแข็งขันว่า ปริมาณสำรองของโอเปคนั้น กล่าวเกินจริง

Peak Oil ใกล้จะมาถึง
ความไม่แน่นอนเพียงอย่างเดียวของ Peak Oil คือช่วงเวลา ซึ่งยากที่จะพยากรณ์ให้ถูกต้อง หลายปีที่ผ่านมาความพยายามจะให้พยากรณ์ถูกต้องนั้นต้องเผชิญกับ เศรษฐกิจ, สิ่งแวดล้อม ที่ไม่คงที่ และปัจจัยทางการเมือง ซึ่งกำหนดข้อจำกัดหลายอย่างทั้งการสำรวจ ขนส่ง และอุปสงค์อุปทาน (ในอุตสาหกรรมน้ำมัน-ผู้แปล) ในปี 2009 มหาวิทยาลัยของคูเวต และบริษัทน้ำมันของคูเวตได้ร่วมกันศึกษา พญากรณ์วันสูงสุดโดยใช้โมเดลหลายวัฎจักร(multicylic) ของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 47 ประเทศหลัก เพื่อทีที่จะพิชิตข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับโมเดลก่อนหน้านี้ อ้างอิงจากโมเดลนี้น้ำมันจะพีคในปี 2014  ผู้เชี่ยวชาญอื่น บริษัทน้ำมัน และบริษัทวิเคราะห์ ประเมินว่า จะพึคออย ระหว่างตอนนี้ถึง 2020 สิ่งที่แน่นอนคือ การผลิตทั่วโลกจะลดลงอย่างถาวรในคนรุ่นเรานี่เอง

"สิ่งที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในธรรมชาติคือการเติบโตแบบทวีคูณ"(อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์)

ด้วยอัตราการเติบโตของการบริโภคปัจจบันที่ 2%ต่อปี(1995-2005) ภายใน 2025 โลกจะต้องการน้ำมันเพิ่มอีก 50%(120 ล้านแบเรลต้อวัน) และองกรณ์พลังงานระหว่างประเทศ(International Energy Agency IEA) ยอมรับว่าซาอุดิอาราเบียจะต้องเพิ่มการผลิตเป็นสองเท่าเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้แม้ในภาวะที่มองโลกในแง่ดีที่สุดแล้ว และนั้่นยังไม่ได้รวมผลของอีก80%(ของคน-ผู้แปล) บนโลกที่เพิ่งเริ่มใช้น้ำมันและแก๊ส ในไม่กี่ปีมานีความต้องการพลังงานของเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งในประเทศที่มีประชากรสูงเพราะการบริโภคน้ำมันต่อหัวประชากรได้เพิ่มขี้น IEAประเมินว่า 93%ของความต้องการเพิ่มมาจากกลุ่มประเทศนอก OECD(องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ดังนั้นราคาน้ำมันจะพุ่งไม่หยุด

อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ Simmon กำลังการผลิตน้ำมัน ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และกระทันหันสามารถเกิดขึ้นได้ แม้แต่ในภาวะที่มองโลกในแง่ดีที่สุด ซาอุดิอาราเบีย อาจสามารถรักษาระดับการผลิตในปัจจุบันได้นานหลายปี แต่จะไม่สามารุเพิ่มการผลิตได้เพียงพอกับความต้องการของโลกที่เพิ่มขึ้นได้ ยังไม่มีแหล่งใหม่ ๆ ที่จะมาแทนแหล่งในตะวันออกกลางที่กำลังจะลดลงได้

ข้อมูลจาก Wiki Leaks เจ้าหน้าที่ด้านพลังงานระดับสูงของซาอุได้เตือน อเมริกา และยุโรปว่า โอเปคจะ มีเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ที่จะผลิตให้ได้ตามความต้องการ และ ปริมาณสำรองของซาอุนั้น ถูกกล่าวเกินจริงไปถึง 40 %

"แม้แต่ความพยายามที่จะเพิ่ม ให้ได้ 12 mbd ครั้งหนึ่ง อาจนำไปสู่การทำลายแหล่งน้ำมันอย่างรุนแรงภายในหนึ่งทศวรรศ"-Saudi Aramco official

Exxon Mobil หนึ่งในบริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทที่โผงผางที่สุดในบริษัทน้ำมันหลักได้เผยแพร่รายงานการลดลงของค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่อย่างกล้าหาญและซี่อตรง แต่เงียบเชียบ อ้างถึงข้อมูลของบริษัทโฆษณา (ตรงนี้ไม่มันใจลองกลับไปดูต้นฉบับด้วย, sound industry คืออะไรไม่รู้-ผูแปลไม่ออก)
ยิ่งกว่านั้นบริษัทยังได้ ลงโฆษณาหน้าเต็มในยุโรป เน้นความท้าทายอย่างสูงอาจไม่สำเร็จถ้าปราศจากความชำนาญ Chevlron ได้ราวมรณรงค์ เผยแพร่และโฆษณาในหนังสือพิมพ์ระดับชาติว่า ยุคแห่งน้ำมันหาง่าย ได้หมดไปแล้ว

"ในตอนแรกมันจะถูกปฎิเสธ จะโกหก และสับสน ต่อมาราคาจะสูง ความต้องการจะลด คนรวจจะแย่งซื้อมาจากคนจนได้สำหรับปริมาณที่เหลืออยู่"

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับพลังงานทางเลือก
สาธารณะชน ผู้นำทางธุรกิจ และนักการเมือง ทั้งหลายเหล่านี้ใช้สมมติฐานผิด ๆ ว่า การหมดไปของน้ำมัน เป็นปัญหาทางวิศวกรรมแบบง่าย ๆ ตรงไปตรงมา ชนิดที่ว่าเทคโนโลยีและความฉลาดของมนุณย์ ได้เคยแก้ปัญหาแบบนี้มาแล้ว เทคโนโลยีนั้นเป็นแรงที่เหนือธรรมชาติ แม้ว่าในความเป็นจริงเทคโนโลยีเป็นแค่ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ทำงานด้วยเชื้อเพลิง และควบคุมโดยกฎทางฟิสิกส์และ เทอร์โมไดนามิกส์  เทคโนโลยีจำนวนมากที่มีอยู่ทุกวันนี้จะทำงานไม่ได้ถ้าไม่ได้มีพลังงานอย่างเหลือเฟือจากเชื่อเพลิงฟอสซิล นักฟิสิกส์ Jonathan Huebner ได้สรุปไว้ใน The History of Science and Technology ว่าอัตราการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ของอเมริกา ได้ถึงจุดสูงสุดในปี 1873 และ อัตราการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในปัจจะบันอยู่ที่เดียวกับปี 1600 อ้างถึง Huebner ภายในปี 2024 มันจะลดลงอยู่ในระดับเดียวกับยุคมืด ดังนั้นเมือปราศจากนวัตกรรมที่เพียงพอ และความสะดวกสบายจากเชื่อเพลิงฟอสซิล เราจะไม่มีเครื่องมือเหลือพอให้ไปต่อได้

ด้วยพลังงานที่ลดลงนี้ มันง่ายที่จะเห็นว่าไม่มีเวลาพอที่จะหาอะไรมาแทนของเหลวราคาถูก มีมากมาย และใช้ได้หลากหลาย นี้ได้ทัน มันอุดมไปด้วยพลังงาน ง่ายที่จะใช้ จัดเก็บ ขนส่ง ไม่มีอะไรคุ้มค่าคุ้มราคาเท่าน้ำมัน ไม่มีอะไรที่จะมาแทนได้ทันเวลา ทั้งแบบแยกกัน หรือแบบใช้ผสมกัน ลม คลื่น และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ทั้งหมดมีน้อย และต้องใช้พลังงานในการสร้างสูง สร้างโดยต้องมีพลังงานจากปิโตรเลียมเป็นทุนที่ต้องทำงานใช้หนี้คืน

แก็สธรรมชาติก็กำลังลดลงเช่นกัน และไม่สามารถเพียงพอต่อความต้องการด้านพลังงาน

เอทานอล ให้พลังงานเป็นศูนย์ (พลังงานที่ใช้ในการผลิตและพลังงนที่ได้หักลบกัน-ผู้แปล) (ยังไม่ได้รวมผลของดินและน้ำที่เสียหาย และต้นทุนอื่น ๆ เนื่องมาจากการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน) มันถูกอุดหนุนโดย โดยรัฐ เพื่อเป็นตัวส่งเสริม อุตสาหกรรมเกษตร และมันไม่มีผลอะไรในเรื่องพลังงาน(Prindle, ACEEE).

เซลแสงอาทิตย์ ให้พลังงานสุทธิน้อย แต่ยังเป็นพลังงงานทดแทนที่ดีที่สุดุุ้มค่าต่อการลงทุน(เฉลี่ยห้าเปอร์เซนต่อปี)มาหลายทศวรรษ และไม่มีทางที่จะเพียงพอต่องความต้องการพลังงานของโลก และที่สำคัญsolar photovoltaic cells (PVC) สร้างจากวัตถุดิบโฮโดรคาร์บอน และต้องมีประมาณมากพอ มีการประมาณกันว่า พลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกนั้นจะต้องใช้เวลาสร้างนับศตวรรษ และต้องบริโภคเหล็กเกือบทั้งโลก(Foreign Affairs, Rhodes).

ความเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า ไอโดรเจนจะช่วยวันแห่งความขาดแคลนนี้ได้นั้น เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการหลอกลวงประชาชนนั้นมีที่มาอย่างไร เซลเชื่อเพลิงไฮโดรเจนนั้นไม่ใช่แหล่งพลังงาน แต่ให้คำจำกัดความที่ถูกต้องกว่าได้ว่าเป็น แหล่งเก็บพลังงาน ไฮโดรเจนของฟรีบนโลกนี้ไม่มีอยู่ มันใช้พลังงานในการแยกพันธะของไฮโดรเจน(ผลิต-ผู้แปล)มากกว่าพลังงานที่ได้จากการรวมไฮโดรเจน(ใช้-ผู้แปล) แหล่งไฮโดรเจนปัจจุบันมาจากแก๊สธรรมชาติ ซึ่งเป็นไฮโดรคาร์บอน หลับตานึกถึงระบบที่ประกอบด้วย solar PVC และ hydrogen fuel cells อุปกรณ์หลักเหล่านี้ทั้ง
solar PVC จนถึง hydrogen fuel cells ต้องการพลังงาน และวัตถุดิบไฮโดรคาร์บอนในการสร้าง ยุคน้ำมันไม่มีทางถูกแทนที่ด้วย เศรษฐกิจ hydrogen fuel cells

ถ่านหินมีอยู่มากมาย แต่ให้พลังงานโดยรวมไม่ดีเทียบกับน้ำมัน และถ้าเอามาสังเคราะห์เป็นเชื่อเพลิงสังเคราะห์ก็ไม่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ถ่านหินต้องขุดจากเหมืองในอัตราสูงขึ้นมาก ๆ เพื่อทดแทนน้ำมันที่กำลังลดลง ถ่านหินเป็นอันตรายอย่างสูงต่อสิงแวดล้อม โรงไฟฟาถ่นหินขนาดใหญ่หนึ่งโรงสามารถปล่อยสารกมันตรังสีได้มากพอจะนำมาสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สองลูกทุกปี แถมยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าเชื้อเพลิงใด ๆ ถ่านหินถูกแสดงให้เห็นว่าปล่อยสารปรอทซี่งทำให้เกิดการทำลายสมองของเด็กแรกเกิด หกหมื่นกรณีทุก ๆ ปี ในสหรัฐอเมริกา กลับไปใช้ถ่านหินอาจเป็นการถอยหลังก้าวใหญ่ และอาจทำให้เป็นเหมือนยุคสลัว(Dim ages) ที่สำคัญกว่านั้นถ่านหินถูกแจกจ่ายอย่างไม่ทั่วถึง มีผู้ใช้หลักสามรายแรก  สหรัฐอเมริกา จีนและรัสเซีย ซึ่งครอบครองประมาณ 70%ของถ่านหินทั้งหมด น้ำมันและก๊าซจำนวนมากในปัจจุบันอยู่ในประเทศที่มีประชากรน้อยเช่นซาอุ ซึ่งไม่มีทางที่จะสามารถใช้เองได้หมด ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงต้องการขายมันออกไปสู่ประเทศอื่น เมื่อน้ำมันหมดแต่ถ่านหินยังอยู่ จะมีสองสามประเทศทีมีประชากรมากเป็นเจ้าของและต้องการทั้งหมดไว้ให้ประชากรของตัวเอง มันน่าสนใจว่าจะมีการเสนอขายให้กับประเทศอื่นสักเท่าใหร่กัน

การจะเอาน้ำมันออกจากทรายน้ำมันต้องการพลังงานจำนวนมาก มันต้องขุดออกจากเหมือง แล้วล้างด้วยน้ำร้อนจัด จากงบดุลพลังงานพบว่าต้องใช้พลังงานเท่ากับน้ำมันสองแบเรล เพือที่จะผลิตน้ำมันสามแบเรล ยังคงได้ส่วนเกิน แต่แย่มากในแง่ของเศรษฐศาสตร์พลังงาน สมัยก่อนน้ำมัน conventional oil มีสัดส่วนตัวนี้(พลังงานที่ใช้ในการหาน้ำมนต่อพลังงานที่ได้)อยู่ที่ หนี่งต่อสามสิบ (นี่ยังไม่รวมมลพิษมหาศาล-ผู้แปล)

โรงไฟฟ้าพลังงานนิงเคลียร์ แพงเกินไป ในการจะสร้างต้องใช้เวลาสร้างนานสิบปี และต้องใช้พลังงานจากฟอสซิลทุกขั้นตอนการก่อสร้าง การบำรุงรักษา การสกัดและกระบวนการต่าง ๆ ของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ แถมยูเรเนี่ยมหายากและมีจำกัดมีจุดพีคของตัวเอง ตั้งแต่ปี 2006 ราคายูเรเนี่ยมขึ้นไปมากกว่สาสองเท่าแล้ว

นิวเคลียร์แบบฟิวชั่นเป็นสิ่งที่โลกต้องการ อย่างไรก็ตามก็ศึกษากันมา 25, 50 ปีกันแล้วก็ยัง...

เชื้อเพลิงฟอสซิลทำใหเราสามารถขับเคลื่อนระบบที่ซับซ้อนขนาดใหญ่มาก ๆ ได้ พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถใช้กันได้กับบริบทเช่นนี้ และเชื้อเพลิงชนิดใหม่ และเทคโนโลยี ในบริบทเช่นนี้ มันต้องใช้เวลาในการพัฒนามากกว่าเวลาที่เรามี และการพัฒนามันขึ้นมาต้องการ อุปทานอันเหลือเฟือของเชื่อเพลิงฟอสซิล มาใส่ให้อุตสาหกรรมลองเสี่ยงทำดูโดยไม่ต้อคำนึงถึงผลด้านธุรกิจ(ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางธุรกิจ-ผู้แปล)

ในการสัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ อดีต ceo ของเชล Jeroen van der Veer เรียกร้องให้ "ตรวจสอบควาจริง" และเตือนว่า วิกฤติพลังงานโลกไม่สามารถแก้ได้ด้วยพลังงานหมุนเวียน "ตรงข้ามกับการรับรู้ของสาธารณะ พลังงานหมุนเวียนไม่ใช่กระสุนเงินที่จะสามารถแก้ทุกปัญหาของเราได้อย่างรวดเร็ว พึ่งจะมีความต้องการพลังงานพุ่งขึ้นมา แหล่งน้ำมันของโลกก็กำลังจะหดตัวลงซะแล้ว โลกมืดบอดตัวมันเองต่อปัญหาพลังงานของตัวเอง ด้วยการไม่สนใจการเติบโตของความต้องการของประเทศกำลังพัฒนา และ การตั้งความหวังความศรัทธาต่อพลังงานหมุนเวียนจนมาเกินควร"
"พลังงานทางเลือกจะไม่แทนที่พลังงานฟอสซิลได้ทั้งในด้าน ขนาด,อัตรา และวิธีการ ที่โลกกำลังบริโภคอยู่ และ ความชาญฉลาดของมนุษย์ จะไม่มีทางแก้ปัญหาข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และฟิสิกส์ไปได้"

Sunday, November 25, 2012

เศรษกิจโลกจะล่มสลายในปี ค.ศ. 2030

ผมไม่ใช่นักเศรษศาสตร์นะ ดังนั้นขอแปลแบบประโยคต่อประโยค เอาให้ได้ใจความดั้งเดิม

MIT Predicts That World Economy Will Collapse By 2030



MIT พยากรณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะล่มสลายภายในปี 2030
สี่สิบปีหลังจากเริ่มเผยแพร่ ผลการศึกษาที่เรียกว่า ข้อจำกัดในการเติบโต (Limits to Growth)  ซึ่งเหมือนการรู้ล่วงหน้าที่น่าผิดหวัง  คณะกรรมการร่างโนยบายนานาชาติ(Think Tank) ที่เรียกว่าสมาคมแห่งโรม(Club of Rome) รายงานในปี พ.ศ. 2515 ว่าอารยธรรมของมนุษย์ได้เป็นไปตามแนวทางที่เพิ่มการบริโภค ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษญกิจล่มสลายประมาณปี 2030 โลกจะสูญเสียประชากรอย่างแน่นอน ทุกอย่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

การศึกษานี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง นักเศรษญศาสตร์ ตั้งข้อสงสัยในคำทำนายของมัน และวิพากษย์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อแนวคิดทีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีข้อจำกัดในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ Graham Turner นักวิจัยชาวออสเตรียน ได้ทำการทดสอบสมมติฐานของรายงาน แบบลงลึกในรายละเอียดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และปรากฎว่า การวิจัยของเขาได้ผลตรงกับคำทำนายของรายงานนี้ (Limits to Growth) อ้างอิงจากวารสาร Smithsonian ได้ว่า โลกกำลังดำเนินไปในเส้นทางหายนะ

การศึกษาเรื่อง Limits to Growth สำเร็จครั้งแรกที่สถาบัน MIT โดยอิงจากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของแนวโน้มทางเศรษกิจ และประมาณว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก มนุษย์จะใช้ทรัพยากรณ์และที่ว่างเปล่า โลกจะใช้จนหมดที่จุดหนึ่ง น้ำมันจะผลิตจนถึงจุดสูงสุด(บางคนแย้งว่า เราผ่านจุดน้ำมันสูงสุดมาแล้ว) ก่อนที่จะตกลงมาอีกข้างของกราฟรูประฆังคว่ำ แต่ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของความต้องการทางอาหารและบริการ(Service น่าจะเป็นไฟฟ้า -ผู้แปล) ซึ่งจะยังสูงขึ้นต่อไปอีก Turner กล่าวว่าข้อมูลจริง จากปี 1970 - 2000(2513-2543)  เทียบกับ การพยากรณ์ในการศึกษานี้ "เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเป็นการสั่นระฆังเตือนภัย เราไม่ได้อยู่ในวิถีแห่งความยั่งยืน" เขากล่าวกับสถาบันสมิธโซเนี่ยน

เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข? ไม่ อ้างอิงจากทั้ง Turner และ ตัวรายงาน Limits to Growth ดั้งเดิม ถ้ารัฐบาล ใช้กฎหมาย และโนยบายที่เข้มงวด  เทคโนโลยีสามารถถูกปรับปรุงและลดการหาประโยชน์จากสิงแวดล้อมได้ เศรษฐกิจไม่จำเป็นจะต้องแคระแกรน และเข้าแถวไปสู่การหดตัวอย่างไร้ข้อกังขา แต่ต้องทำในสิ่งที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้งเชิง



Looking Back on the Limits of Growth